ทำไมนะ ดูหนังเปิดซับหลายรอบก็แล้ว ดูซ้ำไปซ้ำมาก็แล้ว ภาษาอังกฤษถึงไม่ดีขึ้นซักที?
เป็นเพราะอะไรกันแน่?
.
.
(อ่านตอนที่ 1 และ 2 ได้ที่ http://www.mindenglishofficial/article/watchmovies1)
http://www.mindenglishofficial/article/watchmovies2)
.
.
จากบทความที่แล้ว ที่เราบอกสุดยอดเทคนิคการฝึกพูดอังกฤษให้เก่งแบบเข้มข้น ตามระบบเฉพาะของ Mind English ด้วยการดูหนังไปแล้ว 2 ขั้นตอน
.
นั่นก็ คือ
.
.
ขั้นตอนที่ 1 คือดูหนังฝรั่ง “ซับไทย” เพื่อให้เข้าใจเนื้อเรื่อง พยายามเปิดหูฟังมากกว่าตั้งใจอ่านซับ ดู 1 รอบ
.
ขั้นตอนที่ 2 คือดูหนังฝรั่ง “ซับอังกฤษ” เบิกหูให้กว้าง จดจ้องปากของตัวละคร อันไหนฟังไม่ทันหยวนๆ เหลือบมองซับ ว่าเค้าพูดว่าอะไร (ขอให้รู้ว่าพูดว่าอะไรพอ แปลว่าอะไรไม่จำเป็น)
.
สำหรับขั้นที่ 2 นี้ ต้องดูซ้ำๆ จนกระทั่งฟังออกทั้งหมดแบบ 100% ไม่มีต้องเหลือบมองซับ (เป็นไปได้ว่า 10 รอบขึ้นไป แล้วแต่ความยากของหนัง 555+)
.
.
วันนี้ สถาบันสอนภาษา Mind English จะมาแนะนำขั้นตอนที่ 3 สำหรับ “สุดยอดเทคนิคการดูหนัง” ของเรา นั่นคือ!!!
.
ขั้นตอนที่ 3 คือดูหนังฝรั่ง “แบบไร้ซับ” ไม่มีซับอะไรทั้งสิ้น ซึ่งจะดูประมาณ 4 รอบขึ้นไป
.
หลังจากเราฟังออกทุกประโยค ทุกคำพูด ตามที่เราฝึกในขั้นตอนที่ 2 มาแล้ว
.
ขั้นที่ 3 ที่เราดูหนังแบบไร้ซับ รอบแรกๆ (1-2 รอบ) เราจะฟังอย่างเป็นธรรมชาติ และดูหนังเหมือนเราดูหนังไทยปกติเนี่ยแหละ (เราจะรู้สึกสนุกกับมัน ถ้าเราฟังออกฟังทันหมด ว่าใครพูดอะไรยังไงบ้าง)
.
ดูชิลๆแบบพักผ่อน เน้นเชื่อมโยงความหมายกับคำศัพท์
.
บางคำศัพท์หรือบาง idiom ที่เราไม่รู้ก็ซึมซับมัน และพยายามคาดเดาความหมายตามบริบทของหนัง ไม่ต้องเปิด Dictionary
.
รอบหลังๆ คราวนี้ เราเอาจริงและ จินตนาการว่าตัวเองเป็นพระเอกหรือนางเอกของเรื่อง
สมมติเป็นนางเอกแล้วกัน
.
พอนางเอกพูดจบหนึ่งท่อนปุ๊บ เรากด Pause และฝึกพูดตามให้พยายามเลียนเสียง และสำเนียงให้เป๊ะมากที่สุด
แล้วต้องทำเยอะแค่ไหนล่ะ?
.
คำตอบ คือ “ทำแบบนี้ทั้งเรื่อง!!!”
ใช่แล้ว จะให้ดีต้องฝึกพูดให้ได้ทั้งหมด
.
พอเริ่มคล่อง รอบหลังๆให้ใส่อารมณ์ร่วม ใส่ความรู้สึก ใส่ความหมายให้มันลงไปด้วย
.
ให้นึกว่าตัวเองเป็นนางเอกจริงๆ (พระเอกหล่อเท่าไหร่ เราจะยิ่งอินขึ้นเท่านั้น 555+) จินตนาการเหมือนเรากำลังอยู่ในเหตุการณ์ในหนังจริงๆ
.
การดูหนังในขั้นตอนที่ 3 นี้จะสิ้นสุดลงเมื่อเราเลียนเสียงได้คล่อง ได้เหมือนตัวละครที่เราเลียนแบบอย่างครบถ้วน!
.
.
ทำได้ตามนี้ แค่หนังเพียงเรื่องเดียว อาจจะใช้เวลาเยอะหน่อยกว่าจะดูจบทุกขั้นตอน
.
.
สมมติว่าเราฝึกทำแบบนี้ประมาณ 3 เดือน รับประกันได้เลยว่าผ่าน 3 เดือนนี้ไปแล้วคุณจะรู้สึกว่าตัวเองฟัง-พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่า 10 ปีที่เรียนภาษาอังกฤษมาซะอีก!!!
เป็นไปได้!
.
ฟังดูเหมือนนาน แต่มันเฉพาะเรื่องแรกๆ เท่านั้นแหละจ้า เรื่องต่อไปๆจะใช้เวลาลดลงอาจจะจาก 3 เดือน เหลือ1-2 เดือน แล้วค่อยๆลดลงมาในเรื่องต่อไปๆ
.
ผลลัพธ์สุดท้าย คุณจะดูหนังฝรั่งแบบไม่ต้องมีซับแล้วฟังออกและรู้เรื่องทั้งหมด…วันนั้นแหละคือวันที่คุณจะคุยกับฝรั่งได้คล่อง
และมั่นใจแบบสุดๆ บางทีได้สำเนียงเริ่ดๆแถมมาด้วย ไม่อยากจินตนาการเลย
.
.
ที่สำคัญและต้องเน้นย้ำเลยคือ พยายามทำตามขั้นตอนของเราอย่างเป็นระบบ ฝึกฝนอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง
อย่าข้ามขั้น อย่าใจร้อน บางคนอยากข้ามมาขั้นตอน 3 เลย ดูหนังแบบไร้ซับ
ระวัง! สุดท้ายเดี๋ยวได้ซับน้ำตาแทน (เพราะดูไม่เข้าใจอะไรเลย จนพาลไปว่าฝึกแล้วไม่ได้ผลไปซะนี่)
.
.
ใครอยากใช้วิธีนี้ อย่าลืมกฏเล็กๆน้อยๆของเรา 3 ข้อ
.
ข้อ 1 “ห้ามแปล” คือ ห้ามเปิด Dictionary ห้ามแปลเป็นภาษาไทย : เจอคำไหนไม่รู้พยายามเดาความหมายเอา
.
ข้อ 2 “ชิล” อย่าไปซีเรียส ฟังไม่ทันก็รอฟังรอบใหม่ พูดแรกๆยังเลียนเสียงไม่เหมือน ก็ไม่เป็นไร รอบหน้าเอาใหม่
.
ข้อ 3 “ต่อเนื่อง” ไม่ใช่วันนี้เริ่มฝึก หายไป 2 สัปดาห์มาฝึกต่อ ไม่เอา ไม่เอา ถ้าจะเอาจริงต้องเอาทุกวัน เว้นได้วันหรือสองวันนี่คือสุดๆละ
.
.
แต่จริงๆแล้ว ไม่อยากให้เรียกว่าการฝึก แต่อยากให้เป็นการเปลี่ยนวิธีการดูหนังมากกว่า เพราะหนังที่เราเลือกมาคือหนังที่เรารัก พร้อมจะดูเป็นสิบรอบอยู่แล้ว ทำแบบนี้บ่อยๆแล้ว หลังจากนี้การดูหนังของคุณไม่จำเป็นจะต้องเปิดซับอีกต่อไป!!!
.
เปลี่ยนความสนุกเป็นการรุกคืบ เปลี่ยนดูหนังชิลๆ มาทำให้ชีวิตวิ่งปิ๋วมากขึ้น
.
บทความหน้าเราจะมาสรุปลักษณะของหนังที่ควรเลือกมาดูกัน มีแนวไหน อะไรยังไงบ้าง ห้ามพลาด! คอยติดตามนะจ๊า